วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เรียงความเรื่องดูเดอะคาราเต้คิดได้อะไรมากกว่าที่คิด







เรียงความเรื่องดูเดอะคาราเต้คิดได้อะไรมากกว่าที่คิด
             ผมได้ดูภาพยนตร์มาตั้งมากมายแล้วล้วนแต่เป็นภาพยนตร์ที่ดูแล้วผมชอบกันทั้งนั้นเลยแต่ผมดูไปเพื่อความสนุกสนานเท่านั้นโดยที่ไม่เคยคิดเลยว่าในภาพยนตร์เรื่องที่เราได้ดูนั้นเขาได้แสดงอะไรให้เราได้รับรู้บ้าง จนผมได้เรียนรู้และได้มาดูภาพยนตร์เรื่องเดอะคาราเต้คิดแล้วผมได้รัรู้ว่าเราดูภาพยนตร์แล้วเราเอาไปคิดเราจะได้ความหรือเคล็บลับต่างๆในภาพยนตร์เรื่องนั้นมากกว่าที่เราคิด
              ในภาพยนตร์ที่เราได้ดูกันไปนั้นคือภาพยนตร์เรื่องเดอะคาราเต้คิดในภาพยนนั้นมีข้อคิดมากมายที่เขาต้องการที่จะให้เราได้รู้ เช่น ความอดทน ความกล้าหาญ ความเป็นลูกผู้ชาย เป็นต้น
              เมื่อผมได้ดูภาพยนตร์เรื่องเดอะคาราเต้คิดจบแล้วผมเรียนรู้เรื่องความอดทนจากภาพยนตรืเรื่องนั้นคือเมื่อเขาต้องการที่จะฝึกกังฟูเขาต้องพยายามในการฝึกฝนให้ตนเองนั้นเก่งแต่เขาต้องใช้ความอดทนเป้นอย่างมากเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เช่น ในตอนที่เขาไปฝึกกังฟูที่บ้านของลุงฮานแล้วลุงฮานก้ได้ให้เขาขวานเสื้อของเขากับราวไม้นั้นฉากนั้นเขาต้องใช้ความอดทนในการฝึกในครั้งนั้นและในที่สุดเขาก็ได้ต่อสู้เป็นผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนั้นถึงเขาจะตัวเล็กและได้รับความเจ็บปวดขนาดไหนก็ตามแต่เขาก็มีความอดทนจนเขาได้ชัยชนะในครั้งนั้นไปได้
               ข้อคิดในเรื่องนี้คือสอนให้คนรู้จักความอดทนและความพยายามเพื่อความสำเสร็จในหน้าที่ของหรือเป้าหมายของตนเอง  เพราะความอดทนและความพยายามนั้นจะทำให้คนเรานั้นไปจนจุดมุ่งหมายของตนเองได้อย่างแน่นอน.

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557

Idiom ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับความรัก



Idiom หรือสำนวน เป็นสิ่งที่ผู้ที่เรียนภาษาควรที่จะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจเพิ่มเติม เนื่องจากความหมายของสำนวนนั้น ไม่สามารถคาดเดาได้จากตัวประโยคเอง หรือคาดเดาได้ยากนั่นเองครับ


 ในบทความนี้ผมก็มี 8 สำนวนภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับความรักในรูปแบบของการ์ตูนน่ารักๆมาฝากเพื่อนๆกัน ถ้าใครพร้อมแล้วไปดูพร้อมๆกันได้เลย
 

10 เคล็ดลับการเรียนรู้ภาษาแบบง่ายๆ ที่เพื่อนๆอาจจะนึกไม่ถึงมาก่อน








 การเรียนภาษาอาจจะถูกมองว่าเป็นเรื่องยาก แต่จริงๆแล้วมีวิธีมากมายที่จะทำให้การเรียนภาษานั้นไม่เป็นเรื่องที่ดูยากและน่าเบื่อ ซึ่งในวันนี้ผมก็มี 10 เคล็ดลับการเรียนรู้ภาษาแบบง่ายๆที่เพื่อนๆหลายคนจะต้องนึกไม่ถึงมาก่อนแน่ๆ ลองไปดูกันเลยครับ


 1. แปะโน๊ดคำศัพท์ไว้บนสิ่งต่างๆ
เขียนคำศัพท์แปะไว้บนสิ่งของต่างๆในบ้าน พอเห็นบ่อยๆ ก็จะจำได้เอง
2. ฟังเพลง
ไม่ใช่ว่าสักแต่ฟัง แต่ต้องหาคำแปลของเนื้อเพลงด้วยนะ ถ้าคิดว่าฟังเพลงอาจจะยังไม่พอ ก็ให้ร้องไปด้วยเลย
3. พูดคุยกับคนต่างชาติหาเพื่อชาวต่างชาติคุยด้วย อาจจะเป็นการแชทออนไลน์ก็ได้ ฝึกพูดบ่อยๆจะได้เก่ง
4. จีบคนต่างชาติถ้าแค่คุยกับคนต่างชาติแล้วยังไม่พอ ก็หาแฟนชาวต่างชาติไปเลย ถ้าจะไม่เก่งภาษาก็ให้รู้ไป
5. เข้าร้านอาหารลองเข้าร้านอาหารต่างชาติดู อย่างน้อยก็จะได้ฝึกคำศัพท์เกี่ยวกับร้านอาหารไม่มากก็น้อย
6. เปลี่ยนภาษาในโซเชี่ยลมีเดียถ้าหากว่าคุณใช้เวลาเล่น Facebook หรือ Twitter ทั้งวัน ลองเปลี่ยนเป็นภาษาอื่นดู จะช่วยในการฝึกภาษาได้เยอะเลย
7. ดูหนังวิธีง่ายๆแต่ได้ผลดี โดยเฉพาะกับคนที่ชอบดูหนัง อาจจะเปิดซับไตเติ้ลช่วยด้วยก็ได้ในช่วงแรก
8. ทดสอบตัวเองหมั่นทำแบบฝึกหัดเกี่ยวกับภาษา หรือตั้งคำถามง่ายๆให้ตัวเองลองทายเล่นดูบ้าง
9. คุยกับตัวเองเป็นภาษานั้นลองคุยกับตัวเองเป็นภาษานั้นๆ เช่น ”I’m going to the store.” “The soup is very hot.”
10. ไปเที่ยวต่างประเทศไปสัมผัสกับสังคมที่ใช้ภาษานั้นจริงๆ เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะเรียนรู้ภาษา
 
เห็นไหมละครับ ว่าการเรียนภาษานั้น เราสามารถทำให้เป็นเรื่องง่ายๆ และไม่น่าเบื่อได้ ทั้งนี้การเรียนภาษานั้นจำเป็นจะต้องหมั่นฝึกฝนและนำไปใช้อยู่เสมอนะครับ

ที่มา://http://www.wegointer.com/2014/09/10lernlang/ 

แนะนำ 10 วิธีเจ๋งๆ ในการฝึกภาษาอังกฤษ ให้เก่งได้ด้วยตัวเอง


การฝึกภาษาอังกฤษ อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกยุคปัจจุบันและอนาคตภาษาอังกฤษจะมีบทบาทสำคัญและสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆเพราะฉะนั้นการรู้ภาษาย่อมทำให้ได้เปรียบนั่นเอง

สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องการฝึกภาษาอังกฤษ วันนี้เราก็มีข้อมูลมาแนะนำให้ลองทำด้วย 10 วิธีการฝึกภาษาอังกฤษด้วยตนเอง ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะยากเกินไปเลยครับ


1. ตามอ่านอะไรที่เราสนใจ
ตอนเด็กๆหลายคนอาจจะไม่ชอบภาษาอังกฤษ เพราะโดนครูบังคับให้อ่านเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่ลองเริ่มอ่านเรื่องที่เราสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน กีฬา ดนตรี ข่าวซุบซิบดาราฝรั่ง หรือมุมขำๆในหนังสือพิมพ์ จำไว้เลยว่าไม่มีอะไรไร้สาระ เพราะเรากำลังเรียนรู้อยู่
2. ฟังวิทยุให้ชิน
การฟังวิทยุนั้นจะช่วยให้เราได้ฟังทั้งเสียงคนพูด รวมถึงเสียงร้องเพลง เป็นการฝึกหูในชินกับภาษาในหลายๆรูปแบบอีกวิธีหนึ่งด้วย
3. ไม่จำเป็นต้องแปลเป็นภาษาไทย
การฝึกภาษาอังกฤษให้เข้าใจนั้น ไม่จำเป็นที่เราต้องอ่านหรือฟังแล้วแปลเป็นภาษาไทย อาจจะสงสัยว่าไม่แปลเป็นไทยแล้วจะเข้ะาใจยังไง การไม่พยายามแปลเป็นไทยจะช่วยให้เราสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วขึ้นด้วย
4. แปะกระดาษโน้ตบนสิ่งของต่างๆ
วิธีนี้จะเหมือนการเอาข้าศึกมาล้อมเมือง การแปะชื่อสิ่งของต่างๆที่เราใช้เป็นภาษาอังกฤษ ช่วยทำให้ชีวิตได้คุ้นเคยกับคำเหล่านี้มากขึ้น และเป็นการฝึกอ่านฝึกความเข้าใจไปในตัวด้วย
5. ดูทีวีและภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ
การดูภาพ ฟังเสียง และอ่านซับไตเติ้ลภาษาไทยไปพร้อมๆกัน ช่วยฝึกประสาทการรับรู้ในหลายๆช่องทาง ซึ่งต่อไปก็สามารถเปลี่ยนจากซับไทย เป็นซับอังกฤษ ไปจนถึงขั้นปิดซับได้ในท้ายที่สุด
6. เล่นเกมที่ใช้คำภาษาอังกฤษบ่อยๆ
สมัยนี้มีเทคโนโลยีอย่างสมาร์ทโฟน เราจึงสามารถหาแอพพลิเคชั่นเกมภาษาอังกฤษ เช่น Crosswords มาเล่นแก้เบื่อในยามว่างได้ ทีนี้ก็ลองเปลี่ยนจากแชทไลน์มาเป็นเล่นเกมแนวนี้แทน จะช่วยพัฒนาได้อีกทาง
7. ใช้คำต่างๆเป็นภาษาอังกฤษมากขึ้น
วิธีนี้หลายคนอาจจะมองดูว่ากระแดะหรือเปล่า? จริงๆแล้วเป็นเพียงการใช้คำให้ถูกกับภาษาอังกฤษมากขึ้น โดยพยายามพูดอังกฤษบ่อยๆในศัพท์ที่ใช้ได้ เช่นเปลี่ยนคำว่ามือถือ เป็น Smart Phone เปลี่ยนคำว่า นาฬิกาปลุก เป็น Alarm เป็นต้น
8. ทำลิสต์ต่างๆให้เป็นภาษาอังกฤษ
ขั้นตอนนี้อาจจะลำบากในตอนแรก แต่ถ้าเราลองลิสต์ต่างๆให้เป็นอังกฤษจะช่วยเราให้คุ้นเคยได้มากขึ้น อย่างเช่น ลิสต์กิจกรรมที่ต้องทำพรุ่งนี้ ลิสต์ตารางไปเที่ยวพักผ่อน หรือลิสต์ของที่ต้องซื้อเข้าบ้าน ให้เป็นภาษาอังกฤษซะ
9. ลงทุนซื้อ Dictionary ดีๆสักเล่ม
นี่คือการลงทุนที่คุ้มค่า แม้จะมีราคาค่อนข้างแพงไปบ้าง แต่ก็ช่วยให้เราสามารถเข้าใจและพัฒนาภาษาไปได้ดีกว่า (สำหรับคนทุนน้อยจริงๆ ข้อนี้อาจจะข้ามไปได้บ้าง)
10. เราชอบอะไร ทำสิ่งนั้นเป็นภาษาอังกฤษ
ความชอบ ความรัก มันทำให้เราสามารถทำอะไรก็ได้อย่างมีความสุขและไม่น่าเบื่อ ถ้าชอบทำอาหาร ก็เปลี่ยนเมนูอาหารเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าชอบเล่นกีฬาหรือดนตรี ก็ดาวน์โหลดวิดีโอการฝึกซ้อมแบบภาษาอังกฤษมาดู ถ้าชอบเล่นเกมก็ฝึกอ่านคู่มือเกมภาษาอังกฤษ เราก็จะหลงรักมันโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะ


หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงจะมีประโยชน์ และเป็นแนวทางให้เพื่อนๆหลายๆคนที่กำลังสับสนในภาษาอังกฤษ ได้ฝึกฝนพัฒนากันให้มากยิ่งขึ้น คราวนี้คงต้องลาไปก่อน แล้วคราวหน้าจะหาเทคนิคดีๆมาฝากกันอีกนะครับ

ที่มา: settlementatwork 

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

5 อาการบ่งบอกสัญญาณโรคพุ่มพวง

     
     
     
     
    5 อาการบ่งบอกสัญญาณโรคพุ่มพวง...3 ปัจจัยเสี่ยงกระตุ้นอาการกำเริบ (Be Well)
    โดย อ.มงคลศิลป์ บุญเย็น ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์การแพทย์ทางเลือกเพื่อบำบัดมะเร็ง และผู้อำนวยการมูลนิธิการแพทย์ทางเลือกเพื่อมะเร็ง

              ผู้ป่วยโรคเอสแอลอี หรือโรคพุ่มพวง แต่ละคนจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปจะมีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะโรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะ หรือหลายระบบของร่างกาย บางรายจะเกิดอาการขึ้นพร้อม ๆ กัน หรือแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง หากมีไข้ต่ำ ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุเป็นเวลานาน มีอาการปวดตามข้อ มีผื่นขึ้นบริเวณใบหน้า หรือมีผื่นคันบริเวณที่ถูกแสงแดด ผมร่วงมากผิดปกติ มีอาการบวมตามขา หน้าหรือหนังตา และโดยเฉพาะผู้หญิงที่ประจำเดือนขาด หรือไม่มา เหล่านี้อาจสงสัยได้ว่าจะป่วยเป็นเอสแอลอี

    ข้อสังเกตอาการของโรคที่สัมพันธ์กับอวัยวะ

    อาการทางผิวหนัง 

              ผู้ป่วยมักมีผื่นแดงขึ้นที่บริเวณใบหน้า บริเวณสันจมูก และโหนกแก้ม 2 ข้าง เป็นรูปคล้ายผีเสื้อ หรือมีผื่นแดงคันบริเวณนอกร่มผ้าที่ถูกแสงแดด หรือมีผื่นขึ้นเป็นวง เป็นแผลเป็นตามใบหน้า หนังศีรษะ หรือบริเวณใบหู มีแผลในปาก โดยเฉพาะบริเวณเพดานปาก นอกจากนี้ยังมีผมร่วงมากขึ้น

    อาการทางข้อและกล้ามเนื้อ 

              ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดข้อ มักเป็นที่ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า บางครั้งมีบวมแดงร้อนร่วมด้วย

    อาการทางไต 

              ผู้ป่วยมักมีอาการบวมบริเวณเท้า 2 ข้าง ขา หน้า หนังตา เนื่องจากมีอาการอักเสบที่ไต รายที่มีอาการรุนแรงจะมีความดันเลือดสูงขึ้น ปัสสาวะออกน้อยลง ไปจนถึงขั้นไตวายได้ในระยะเวลาอันสั้น

    อาการทางระบบเลือด 

              ผู้ป่วยอาจมีเลือดจาง มีเม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือดลดลง ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย มีภาวะติดเชื้อง่าย หรือมีจุดเลือดออกตามตัวได้

    อาการทางระบบประสาท 

              ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการชัก หรือมีอาการพูดเพ้อเจ้อไม่รู้เรื่อง หรือคล้ายคนโรคจิตจำญาติพี่น้องไม่ได้ เนื่องจากมีการอักเสบของสมอง หรือหลอดเลือดในสมอง

              ปกติแพทย์จะแบ่งความรุนแรงของโรคเอสแอลอี ออกเป็นระดับความรุนแรงน้อย ระดับปานกลาง และมาก ตามระบบของอวัยวะที่เกิดมีอาการ และตามชนิดของอาการที่เกิดขึ้นกับอวัยวะนั้น ๆ เช่น อาการทางผิวหนังมีผื่น หรืออาการทางข้อ มีข้ออักเสบ จัดเป็นความรุนแรงน้อยถึงระดับปานกลาง ยกเว้นอาการบางชนิด เช่น เส้นเลือดอักเสบของผิวหนัง ส่วนอาการที่ระบบไต ระบบเลือดและสมอง จัดเป็นอาการขั้นรุนแรง

              อาการ ของโรคเหล่านี้ มักจะแสดงความรุนแรงมาก หรือน้อยภายในระยะเวลา 1-2 ปีแรกจากที่เริ่มมีอาการ หลังจากนั้นมักจะเบาลงเรื่อย ๆ แต่อาจมีอาการกำเริบรุนแรงได้เป็นครั้งคราว

    วิธีการรักษาโรค

              ผู้ป่วยโรคเอสแอลอีควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรค และอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ถ้าผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง การใช้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือแอสไพริน หรือยาลดการอักเสบก็ควบคุมอาการได้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง อาจต้องใช้ยาประเภทสเตียรอยด์ (ยาเพร็ดนิโซโลน) หรือยากดภูมิคุ้มกันในขนาดต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัย ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับความรุนแรงและระบบอวัยวะที่มีการอักเสบ ยาเหล่านี้เป็นยาอันตราย อาจทำให้ผมร่วงหรือหัวล้านได้ เมื่อหยุดยาผมจะงอกขึ้นมาใหม่

              แต่การใช้ยาเป็นเพียงการระงับอาการชั่วคราว ผู้ป่วยอาจต้องกินยาตลอดชีวิต ผมเคยเจอคนไข้รายหนึ่งก่อนที่จะมารักษากับผม เขากินยาเป็นเวลานานถึง 28 ปี ส่วนอีกรายกินยามา 22 ปีแล้ว แต่พอมารักษาด้วยสมุนไพรก็หายในระยะเวลา 6 เดือน แพทย์บางท่านอาจใช้ยาคีโมในการรักษาเอสแอลอี ซึ่งก็เป็นการรักษาแบบประคับประคอง แต่อาจไม่หายขาด คนไข้ส่วนใหญ่แทบทุกรายที่มาหาผม ล้วนผ่านการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันมาก่อน และมีอาการที่เห็นเด่นชัด ตั้งแต่ผมร่วง ใบหน้ามีรอยช้ำ เป็นรอยเหมือนผีเสื้อ ประจำเดือนขาด มีรอยช้ำจ้ำ ๆ บริเวณแขนขา ซึ่งคนเป็นโรคเอสแอสอีจะเกิดรอยช้ำได้ง่ายที่สุด

    รักษาเอสแอลอีแบบแพทย์ทางเลือก

              ผมอยากให้คนไข้หาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า แพทย์แผนอื่นรักษาโรคเอสแอลอีได้หรือไม่ สำหรับคนไข้ที่มาหาผม แทบจะไม่ต้องซักประวัติเพิ่มเติม บางคนขอรักษา 2 ทาง ผมก็จะแนะนำว่า ไปหาหมอแผนปัจจุบันได้ แต่ให้เก็บยาไว้ก่อน จากนั้น จึงกินยาสมุนไพรของผมซึ่งมีตัวหลักคือ เห็ดหลินจือ กับยาปรับธาตุที่ปรับสภาพฮอร์โมนผู้หญิงให้ปกติ หรือ ถ้าเป็นผู้ชาย ก็จะเป็นยาบำรุงร่างกาย

    3 ปัจจัยเสี่ยงพึงระวัง เพื่อเลี่ยงอาการกำเริบ

              นอกจากนี้คนไข้ต้องระวังในการรับประทานอาหาร เช่น อาหารต้องห้ามประเภทข้าวเหนียว ที่มีกลูเตน (โปรตีนที่สกัดจากแป้งสาลี ใช้ทำหมี่กึง ขนมปัง หรือส่วนผสมในพิซซ่า) ซึ่งจะไปเร่งให้อาการกำเริบ

              และอีกประการที่คนไข้ต้องระวัง คือ แสงแดด หรือ แม้จะเป็นแสงไฟก็ตาม เพราะจะทำให้เกิดอาการผื่นแดง คัน ตามบริเวณมือ และหน้า ได้ จึงควรใส่เสื้อแขนยาวที่ปกปิดแขน ขา และลำตัวได้มิดชิด ใส่หมวกปีกกว้าง ทายาป้องกันแสงแดด และสวมเสื้อสีอ่อนที่ไม่ดูดซับความร้อน

              อีกประการที่อาจคิดไม่ถึง คือ ความร้อนจากการปรุงอาหารที่มีรังสีอินฟาเรดถูกปล่อยออกมา ถ้าได้รับความร้อนมาก ๆ ก็เป็นการกระตุ้นให้โรคเอสแอลอีกำเริบได้เช่นกัน

              การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยอย่างถูกต้อง เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ และต้องไม่ปฏิบัติตัวที่จะเป็นการกระตุ้นให้โรคกำเริบขึ้นมาใหม่ เช่น การโดนแสงแดด ตรากตรำทำงานหนัก และอดนอน ถึงแม้ว่าโรคจะสงบลงแล้วเป็นเวลาหลายปี ก็อาจยังมีโอกาสกำเริบใหม่อีกได้ ดัง นั้นจึงต้องเตรียมความพร้อมของร่างกายและจิตใจอยู่เสมอ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รักษาสุขอนามัยให้ดี ทำจิตใจให้สดชื่น ไม่เครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะเป็นเกราะป้องกันโรคร้ายสู่ตัวเรา
     
     
    ที่มา:  http://health.kapook.com/view21467.html 

วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สื่อต่างชาติ เผย 5 ข้อเหตุไทยภาษาอังกฤษรั้งท้ายในอาเซียน






เหตุผลที่ทำให้เด็กไทยมีระดับความรู้ด้านภาษาอังกฤษอยู่ในเกณฑ์น่าห่วงมีด้วยกัน 5 ข้อสำคัญคือ
1. ระบบการศึกษาไทยเน้นท่องจำ โดยมีอาจารย์เป็นศูนย์กลาง เขียนศัพท์และแกรมม่าบนกระดานดำ และให้นักเรียนอ่านและจำ ไม่มีการวิเคราะห์พูดคุย หรือตั้งคำถาม-คำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่เรียน เพราะกลัวถูกกล่าวหาว่าโง่
2. ไม่มีการสอนคิดแบบวิเคราะห์ ระบบการสอนของไทยสอนแบบให้รับรู้ ไม่ต้องคิดและไม่ต้องถามว่าสิ่งที่เรียนนั้นถูกต้องแล้วหรือยัง สิ่งที่ถูกคือต้องหัดคิดวิเคราะห์เพื่อแยกเยอะโครงสร้างซับซ้อนของภาษา จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด หลงเชื่อข่าวปลอม หรือข่าวลวง โดยไม่มีการคิดวิเคราะห์อยู่บ่อยๆ จนทำให้คนไทยไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ กลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมาไม่รู้จักจบ
3. ครูไทยไร้คุณภาพ การเรียนการสอนที่ดีควรเริ่มจากครูผู้สอนก่อน เริ่มจากครูไทยต้องมีความสามารถด้านภาษาที่ได้มาตรฐาน ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างดีเยี่ยม
4. ครูต่างชาติไม่ได้มาตรฐาน นอกจากครูไทยแล้ว โรงเรียนบางแห่งมีแนวคิดจ้างครูต่างชาติ แต่เนื่องจากไม่สามารถจ่ายเงินเดือนสูงมาก ทำให้บางครั้งก็ได้ครูที่ไม่มีมาตรฐาน บางครั้งครูที่จ้างมาจบปริญญาแต่ไม่ได้เรียนด้านการสอน ไม่มีวุฒิปริญญา หรือร้ายแรงที่สุดคือใช้ปริญญาปลองมาสมัครเป็นครู
5. กระทรวงศึกษาธิการ ควรปรับเปลี่ยนนโยบายที่จะช่วยพัฒนาการศึกษาไทยให้ได้มาตรฐาน และสามารถดึงดูดคนที่มีความสามารถมาทำงานเป็นครู




ที่มา : เว็บไซต์ Scholarship.in.th

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กลอนให้กำลังใจ-คำที่สร้างกำลังใจที่คุณต้องรู้

ความฝันของคนเรา

 มีเป้าหมายที่ยาวไกล 

ถ้ามึงไม่เหลวไหล 

มึงจะไปถึงดวงดาว

 แต่ถ้ามึงทำชั่ว 

ไปทั่วเมืองทั้งดมกาว

 เสพติดไม่กินข้าว 

แล้วจะก้าวไปอย่างไร


ชีวิต
ก็เหมือนการขี่จักรยาน
คุณต้องปั่นไปข้างหน้าเท่านั้น
ถึงจะประคองตัวเอาไว้ได้


4 สิ่งในโลกที่เงินซื้อไม่ได้
ความรัก
เวลา
ชีวิต
มิตรแท้

วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2557

7 เคล็ดลับเพิ่มความสูงให้กับตัวเอง



 7 เคล็ดลับเพิ่มความสูงให้กับตัวเอง

ไม่ว่าใครก็คงอยากสูงกันทั้งนั้น เพราะช่วยทำให้ดูมีบุคลิกภาพดีขึ้น ใส่อะไรก็ดูดีไปซะหมด แถมยังสะดวกคล่องตัวกว่าคนรูปร่างเล็กเป็นไหน ๆ แต่ใช่ว่าทุกคนจะมีส่วนสูงที่อยากได้อย่างใจเสมอไป บางคนอาจเกิดมาตัวเล็กกว่าใคร ๆ จนคิดจะไปผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อเพิ่มส่วนสูงของตัวเองด้วยซ้ำ

          แต่ ก่อนที่จะทำลองคิดดูดี ๆ เสียก่อน ลองอ่านเคล็ดลับเพิ่มความสูงที่กระปุกดอทคอมนำมาเสนอกันดู หากพยายามอย่างถูกวิธี ไม่แน่ว่าคุณอาจสูงขึ้น จนไม่ต้องพึ่งวิธีผ่าตัดที่ทั้งแพงแถมยังเจ็บตัวเลยก็ได้ 

1. เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์

          ควรเน้นทานอาหารที่มีสารอาหารจำพวก วิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน และน้ำให้มาก ๆ เพราะวิตามินหลาย ๆ ชนิดมีส่วนช่วยในการเติบโต เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 12 และ วิตามินดี เป็นต้น ส่วนแร่ธาตุต่าง ๆ อย่างแคลเซียมและฟลูออไรด์ก็ช่วยให้กระดูกของคุณแข็งแรงขึ้น ไม่เปราะหักง่าย

          นอกจากนี้ สารอาหารที่สำคัญที่สุดที่จะขาดไม่ได้ในแต่ละมื้อคือโปรตีน เพราะเป็นสารอาหารหลักที่ช่วยในการเติบโต โดยสารอาหารจำพวกนี้สามารถหาได้จากนมและไข่ สุดท้ายคือน้ำ ที่จะช่วยให้เราขับของเสียออกจากร่างกายเพื่อรับสารอาหารใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นเราจึงควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 ถึง 8 แก้วเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเอง

2. ทานอาหารให้พอดี

          ถ้าคุณอยากให้ส่วนสูงของตัวเองเพิ่มขึ้น ควรทานอาหารในปริมาณพอเหมาะ ถึงแม้ว่าคุณจะไดเอทอยู่ก็ไม่ควรลดปริมาณอาหารลง ควรลดอาหารจำพวกแป้งและไขมันให้น้อยลง แล้วทานอาหารอาหารอื่นเพิ่มแทน นอกจากนี้ควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจะได้ช่วยในการไดเอทของคุณ และการยืดเส้นยืดสายก็ช่วยทำให้คุณสูงขึ้นด้วย

3. ทานให้ตรงเวลา

          ควรเลือกทานเป็นมื้อแทนการกินขนมจุบจิบระหว่างวัน และแต่ละมื้อก็ควรจะห่างกัน 4 - 5 ชั่วโมง เพื่อให้เวลาร่างกายเริ่มการสร้างเนื้อเยื่อที่ช่วยในการเจริญเติบโต นอกจากนี้ยังไม่นานเกินไปจนทำให้คุณรู้สึกหิวระหว่างมื้ออีกด้วย

4. พยายามยืดตัวบ่อย ๆ

          การยืดตัวสามารถช่วยให้คุณสูงขึ้นได้ คุณควรพยายามยืดตัววันละสองครั้งตอนตื่นนอนและก่อนเข้านอน ด้วยวิธีง่าย ๆ คือเมื่อตื่นแล้วก็อย่าเพิ่งลุกจากเตียง ให้ชูแขนทั้งสองข้างขื้นและยืดทั้งขาและแขนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จึง ค่อยลุก เพื่อเป็นการบิดขี้เกียจไปในตัว และอย่าลืมทำแบบเดียวกันก่อนจะเข้านอนทุกวัน



5. ออกกำลังกายด้วย

          กีฬาเช่นว่ายน้ำ และบาสเกตบอล นอกจากจะสนุกแล้วยังสามารถช่วยทำให้คุณสูงขึ้นได้ แต่ถ้าใครเป็นคนไม่ชอบเล่นกีฬาแต่อยากให้ส่วนสูงเพิ่มขึ้นสักนิด คุณก็สามารถทำได้ด้วยวิธีการง่าย ๆ ดังนี้ เริ่มแรกเอามือทั้งสองข้างอ้อมไปไว้ด้านหลังศรีษะ แล้วประสานมือเอานิ้วไขว้กัน วางไว้ที่หลังคอของตัวเอง จากนั้นก็ดันคอของคุณลงมาจนคางชิดกับอก ทำแบบนี้วันละ 20 ครั้ง ทำ 10 ครั้งแรก แล้วพักสัก 10 วินาที จึงค่อยทำอีก 10 ครั้ง

6. นอนให้ถูกวิธี

          ควรพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 8 - 10 ชั่วโมง เพราะฮอร์โมนที่มีส่วนช่วยให้เราสูงขึ้นจะถูกผลิตออกมาในเวลาที่เราหลับสนิท เท่านั้น นอกจากนี้เวลานอนควรเลี่ยงการนอนงอตัว เพราะจะทำให้กระดูกสันหลังคดงอ ร่างกายเติบโตได้ไม่เต็มที่ คนที่ติดหมอนข้างก็ควรพยายามเลิกซะ และพยายามเปลี่ยนมานอนหงายแทน เพราะท่าที่เราใช้ในการนอนกอดหมอนข้างนั้นทำให้ขาพาดไปมาจนกระดูกโตได้ไม่ เต็มที่

7. ยืนตัวตรง ๆ

          การเดินหลังค่อมหรือยืนหลังงอเป็นประจำจะทำให้กระดูกคดงอผิดรูปร่าง ทำให้กระดูกไม่โต แถมยังทำให้เสียบุคลิกภาพ ดูเตี้ยลง อ้วนขึ้น แล้วยังดูขาดความั่นใจอีกด้วย นอกจากนี้ พอแก่ตัวไปกระดูกของคุณอาจคดจนไม่สามารถกลับมายืนตัวตรงได้อีก เพราะฉะนั้นพยายามฝืนตัวเองให้ยืนตรงบ่อย ๆ จนชิน เพื่อบุคลิกภาพที่ดี และส่วนสูงที่เพิ่มขึ้น

          ใคร อยากสูงก็ลองไปทำตามคำแนะนำที่ให้นี้ดู อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าปัจจัยเรื่องส่วนสูงยังมีอีกมากที่ทำให้แต่ละคนสูงไม่เท่ากัน ทั้งพันธุกรรมและอายุ เพราะฉะนั้นควรพยายามเท่าที่ทำได้โดยไม่ฝืนตัวเองจนเกินไปนะครับ



ที่มา:http://health.kapook.com/view38300.html

LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...
Free Hosting
loading...